9 ที่เที่ยวบึงกาฬ

9 ที่เที่ยวบึงกาฬ

9 ที่เที่ยวบึงกาฬ ในอดีตบึงกาฬเคยเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนครพนมชื่อว่า “ไชยบุรี” ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 จึงเห็นควรให้จัดตั้งบึงกาฬเป็นจังหวัดขึ้น จึงทำให้บึงกาฬกลายเป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศ บึงกาฬเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับแม่น้ำโขงซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศลาว นอกจากนี้ ธรรมชาติของบึงกาฬยังอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ น้ำตก แม่น้ำ หรือวัฒนธรรมและความเชื่อของชุมชนต่างๆ เกี่ยวกับพญานาค จึงไม่น่าแปลกใจที่ “ถ้ำนาคา” จะกลายเป็นจุดหมายที่ใครๆ ต่างก็มาเยี่ยมชมและขอพรจากพญานาค

อย่างไรก็ตามถ้ำนาคานั้นไม่ได้เป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย วันนี้เราจะมาแนะนำ ‘สถานที่เที่ยวบึงกาฬ’ กันค่ะ

9 ที่เที่ยวบึงกาฬ 1. ถ้ำนาคา

9 ที่เที่ยวบึงกาฬ เชื่อว่าในยุคนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘ถ้ำนาคา’ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและความเชื่อที่ได้รับความนิยมแห่งยุคสมัย ความสวยงามของถ้ำนาคาที่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ คือ หินก้อนใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนงูยักษ์ หรือที่คุ้นหูคุ้นตาอย่าง ‘พญานาค’ ปรากฏการณ์หินถูกกัดเซาะจนเกิดเป็นรูปร่างนี้ หากพิจารณาตามทฤษฎีธรรมชาติจะเรียกว่า ‘หินแตกแดด’ ทำให้หินมีลวดลายคล้ายเกล็ดงู อย่างไรก็ตาม ชาวจังหวัดบึงกาฬและจังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่นี้ต่างศรัทธาในพญานาคและเคารพนับถือปูอูลื้อเป็นอย่างมาก หลายคนจึงเดินทางมาขอพรและขอพรได้สมความปรารถนา จึงทำให้สถานที่แห่งนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากจะได้ชมธรรมชาติแล้วยังเต็มไปด้วยความสุขและความศรัทธาอีกด้วย

2. วัดภูทอก

‘วัดภูทอก’ หรือ ‘วัดเจติยาศรีวิหาร’ มีจุดเด่นอยู่ที่สะพานไม้รอบภูเขา สามารถเดินชมวิวได้ 360 องศา รอบวัดมีต้นไม้เขียวขจีรายล้อมตลอดสายน้ำสายต่างๆ ภายในวัดมีจุดที่น่าสนใจคือมีบันได 7 ชั้นขึ้นสู่ยอดเขา เปรียบเสมือนสวรรค์หรือเส้นทางแห่งธรรมะ นอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้วยังมีพระพุทธรูปให้สักการะเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตอีกด้วย ส่วนใครที่ชอบความท้าทาย ความสูง และการเข้าถึงธรรมะ หากใครมีแผนท่องเที่ยวเชิงศาสนา ‘วัดภูทอก’ ก็เป็นวัดที่ครบเครื่องและน่าสนใจทีเดียว

3. ประตูภูสิงห์

จุดเด่นของประตูภูสิงห์คือเป็นหินก้อนใหญ่สูง 2 ก้อนติดกัน มีช่องว่างที่ดูเหมือนประตูระหว่างหิน 2 ก้อน ต้องบอกว่าสวยงามมาก เหมาะแก่การถ่ายรูปไปโพสต์ลงโซเชียลเป็นอย่างยิ่ง หากเดินเข้าไปตรงช่องว่างระหว่างหิน จะเห็นวิวทิวทัศน์แบบพาโนราม่ากว้างไกล เป็นวิวที่มีมูลค่าหลายล้าน เพราะพื้นที่เบื้องล่างเป็นป่าสงวนที่มีป่าฝนหลายชนิด เป็นวิวที่น่าเที่ยวไปชมอย่างยิ่ง

4. หินสามวาฬ

หลายๆคนคงสงสัยว่าทำไมถึงเรียกว่า “หินสามหวาน” สาเหตุก็เพราะรูปร่างของหินที่เป็นหิน 3 ก้อนเรียงกันเป็นระนาบ ความยาวของหินคล้ายปลาวาฬ หลายคนบอกว่ารูปร่างคล้ายครอบครัวปลาวาฬ พ่อ แม่ และลูก ตัวหินยื่นออกมาด้านหน้าภูเขาทำให้สามารถนั่งหรือยืนชมวิวได้อย่างเต็มที่ แต่หากใครอยากได้บรรยากาศดีๆ อากาศไม่ร้อนจนเกินไป และอยากชมทะเลหมอกอย่างใกล้ชิด แนะนำให้มาในช่วงฤดูหนาว โดยเฉพาะตอนเช้าๆ บอกเลยว่าวิวสวยมาก บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ

5. วัดอาฮงศิลาวาส

‘วัดอาฮงสีลาวัต’ ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านฝั่งไทยและลาว จุดเด่นของวัดคือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และความเชื่อที่ว่าจะมีน้ำวนในบริเวณที่ลึกกว่า 200 เมตร เมื่อน้ำไหลแรงจะเกิดน้ำวนนานกว่าครึ่งชั่วโมง หลายคนเชื่อว่าจุดนี้เป็นสะดือแม่น้ำโขงและนาค ตัววัดเองก็มีความน่าสนใจเพราะมีแม่น้ำโขงเป็นฉากหลัง สถาปัตยกรรมเองก็สวยงามตามแบบฉบับไทยประยุกต์ มีพระพุทธขวัญนันทศาสดาประดิษฐานเป็นพระประธาน ซึ่งต้องบอกว่าสวยงามมากและมีสีทองอร่าม ส่วนใครที่อยากขอพรหรือเพิ่มความมั่นใจในชีวิตก็สามารถไปขอพรกับเจ้าแม่สะดือแม่น้ำโขงได้

6. ลานธรรมภูสิงห์

ลานถ้ำภูสิงห์ จริงๆ แล้วตั้งอยู่ไม่ไกลจากหินสามหวาน ลานถ้ำภูสิงห์ เป็นพื้นที่ทรายแดงขนาดใหญ่ หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามีลักษณะคล้ายสิงโต ซึ่งถือว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทีเดียว นอกจากนี้ หินที่ถูกน้ำกัดเซาะยังเกิดเป็นชั้นๆ ที่สามารถนั่งพักผ่อนชมวิวได้อีกด้วย ความสูงของพื้นที่กำลังดี ทำให้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญแห่งหนึ่งของบึงกาฬสำหรับการเที่ยวชม นอกจากนี้ ยังมีรูปปั้นหลวงพ่อพระสิงห์ให้นักท่องเที่ยวได้สักการะอีกด้วย

7. น้ำตกถ้ำพระ

น้ำตกถ้ำพระ เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงของจังหวัดบึงกาฬ เพราะที่นี่น้ำไหลตลอดเวลา ทำให้สามารถเล่นน้ำเย็นสบายได้อย่างเต็มที่ พื้นที่ภายในน้ำตกกว้างขวางมาก เรียกได้ว่าเป็นสวนน้ำขนาดเล็กก็ว่าได้ แต่สิ่งที่พิเศษกว่าสวนน้ำก็คือธรรมชาติที่อยู่รอบ ๆ ไม่ว่าจะเป็นชั้นหินของน้ำตกที่มีความกว้างมากกว่า 100 เมตร จัดวางอย่างสวยงามด้วยต้นไม้สีเขียวรอบ ๆ ทำให้สามารถเล่นน้ำได้อย่างผ่อนคลายและเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์ ที่สำคัญน้ำยังใสสะอาดชวนเชิญอีกด้วย

8. น้ำตกเจ็ดสี

สำหรับน้ำตกเจ็ดสีนั้นแนะนำให้มาในช่วงฤดูฝน เพราะในช่วงนี้น้ำจะไหลแรง ทำให้เล่นน้ำได้สนุกสนาน นอกจากนี้ยังเป็นช่วงที่น้ำตกสวยงามที่สุดอีกด้วย เมื่อน้ำไหลลงมากระทบหินมาก ๆ จะเกิดละอองน้ำ ปรากฏการณ์นี้จะทำให้เราเห็นรุ้งกินน้ำเจ็ดสี เลยได้ชื่อว่า ‘น้ำตกเจ็ดสี’ น้ำตกแห่งนี้มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นที่สวยที่สุดคือชั้นที่ 3 สูงขึ้นมาประมาณ 1 กิโลเมตร แต่บอกเลยว่าคุ้มค่าแก่การมาเยี่ยมชมอย่างแน่นอน

9. จุดชมวิวส้างร้อยบ่อ

หากคุณไม่ใช่คนในพื้นที่หรือไม่รู้จักคำศัพท์ท้องถิ่น คุณอาจไม่เข้าใจว่าคำว่า “ซาง” หมายถึงอะไร คำว่า “ซาง” ในที่นี้หมายถึงบ่อน้ำหรือหลุม จุดชมวิวซางร้อยโบเป็นหินที่มีหลุมและแอ่งมากกว่า 100 หลุม ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของธรรมชาติ ทำให้ดูสวยงามแปลกตา ในช่วงฤดูฝน น้ำจะไหลมารวมกันภายในหลุม ทำให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น บางหลุมอาจแช่อยู่ในน้ำได้ แต่สิ่งที่คุณไม่ควรพลาดคือทิวทัศน์ หากคุณไปที่นั่นในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ที่นี่จะสวยงามและโรแมนติกอย่างเหลือเชื่อ คุณไม่ควรพลาดชมอย่างแน่นอน

บทความแนะนำ

9 ที่เที่ยวสกลนคร